วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2550

ศรีลังกาตอนที่ 2

นั่นไงครับ มาแล้ว....อาจารย์ปีเตอร์และอาจารย์แซนดร้า ผมนั่งรอตั้งนาน นึกว่าจะไม่ไปกันเสียแล้ว เมื่อตรวจพาสปอร์ท เสร็จแล้วก็เข้าประตูผู้โดยสารขาออกเพื่อไปขึ้นเครื่อง สนามบินนี่กว้างมากเราก็เดิน เดิน เดิน จนอาจารย์ปีเตอร์พูดขึ้นมาว่า “สงสัยเราจะเดินถึงศรีลังกาแน่เลย” เพราะมันไกลมากกว่าจะเดินไปถึงประตูเข้าทางขึ้นเครื่อง เล่นเอาผมหอบแฮ่กเลยทีเดียว
ขึ้นเครื่องได้เสียทีนะครับ และก็ต้องขอชมแอร์ฯของ
ทางสายการบินนี้นะครับว่าสวยจริงๆ (ชื่นชมในฝีพระหัตถ์ของ
พระเจ้านะครับ ) แหม..ภาษาอังกฤษผมก็แข็งแรงเหลือเกิน
แอร์ฯคนไทยสักคนก็ไม่มี มีก็แต่คนจีนกับคนญี่ปุ่น เมื่อขึ้นมา
บนเครื่องบินแล้วก็ต้องทึ่งกับความกว้างขวางของตัวเครื่องบิน
ที่เคยนั่งนั้นเป็นเพียงแถวที่นั่งสองแถวและทางเดินแคบกว่านี้
แต่เครื่องนี้มีที่นั่งถึงสามแถว แถวละสามที่นั่งแต่ละที่นั่งมี
โทรทัศน์ส่วนตัวด้วย แต่ผมไม่ดูหรอกนะครับโทรทัศน์น่ะ แต่ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบนะครับหากแต่เป็นเพราะว่าผมเปิดไม่เป็นต่างหาก......ว่าแต่มันเปิดยังไงน้า........ถ้าจะถามคนข้างๆก็กลัวว่าจะเสียหน้าและอีกอย่างภาษาที่เขาใช้ในการแนะนำการใช้งานก็ไม่มีเป็นภาษาไทยนะครับ เวลาเขาเดินมาบริการน้ำ พอผมดื่มเสร็จก็ถือไว้และตาก็มองหาที่วางแก้วซึ่งไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหน “อยู่ไหนหว่า” หาอย่างไรก็หาไม่เจอ คลำแล้วก็คลำอีกจนคนข้างๆผมเค้าคงจะนึกรำคาญ เขาเลยทำท่าเปิดของเขาให้ผมดู และมองหน้าผม นี่ผมรู้นะเขาคงจะนึกเยาะเย้ยผมอยู่ในใจ “อะไรกัน ไม่เคยขึ้นเครื่องหรือยังไงนะ” นั่นสิก็ไม่เคยขึ้นน่ะสิครับ โธ่...ถ้าผมเคยขึ้นเครื่องแล้วจะมาทำเปิ่นแถวนี้ทำไมละครับ (ตอบในใจน่ะครับ)
ตอนนี้ผมนั่งบนเครื่องบิน อีกไม่นานก็คงถึงนะครับ ผมนั่งได้สักพักก็เอาสมุดบันทึกขึ้นมาเขียน คนข้างๆผมคงเห็นว่าผมเขียนอะไรอยู่ เขาหยิบ Lab top ของเขาขึ้นมาบ้างและมองหน้าผมเหมือนกับว่าของฉันแน่กว่า.....อืม..นี่ผมคิดเอาเองอีกแล้ว ซึ่งความจริงเขาก็อยู่ส่วนของเขาผมอยากหาเรื่องเขียนก็เลยเอาเขามาเกี่ยวน่ะครับ
มาแล้วครับอาหารบนเครื่องบิน แอร์คนสวยเดินมาบริการพร้อมกับพูดอะไรก็ไม่ทราบ ก็เลยตอบไปว่าYes. ลูกเดียว ก็เลยได้ห่อหมกกับข้าวสวย เฮ้อ...ขึ้นเครื่องบินทั้งทีดันได้ข้าวห่อหมกมาทาน แต่ก็อร่อยดีนะ อาจารย์ปีเตอร์ก็นั่งไกลเสียด้วย ไม่อย่างนั้นคงได้กินสเต็กแล้วล่ะครับ เพราะ Yes. ตัวเดียวเชียว.....ถึงได้กินห่อหมก
สักพักหนึ่ง แอร์คนสวยก็เดินเข้ามาอีกรอบพร้อมขวดไวร์ 2 ขวด พร้อมกับถามผมว่า ต้องการดื่มไวร์ไหม (คำถามนี้ผมพอเข้าใจ) เอ...เอายังไงดีนะ คิดในใจอีกแล้ว จะตอบว่า Yes. อาจารย์แซนดร้าก็มองผมอยู่จำเป็นต้องตอบว่า Oh…No, Thank you พร้อมกับกลืนน้ำลาย (อยากลองสักครั้งว่าอร่อยหรือเปล่า) ส่วนคนข้างๆผมดื่มเข้าไปตั้งสามแก้ว มองดูตาเยิ้มๆ แหม...ทำท่าเลียปากด้วยสิพร้อมกับหันมาทางผมเหมือนทำท่าเชิญชวนว่าเอามะ..... ตอนนี้ผมอิ่มแล้วสิครับ แต่ปัญหาก็คือผมอยากเข้าห้องน้ำด้วย มองหาห้องน้ำบนเครื่องบินนี่มันยากจริง แอร์ก็ไม่มาเก็บจานอาหารเสียทีผมจะได้ลุกไปเข้าห้องน้ำ
มาอีกแล้วครับน้ำชา เสิร์ฟกันเข้าไป กินสิครับจะได้รู้ว่าชาบนเครื่องอร่อยหรือเปล่า ตามมาด้วยกาแฟ ก็ดื่มเข้าไปอีกทดลองดูว่ามันอร่อยหรือเปล่า และแอร์คนสวยก็มาเก็บอาหาร จะได้ไปเข้าห้องน้ำเสียที แต่มันไม่ง่ายอย่างนั้นน่ะสิครับท่านผู้อ่าน มันเกิดปัญหาใหญ่กับผมแล้วครับ ไอ้รถทัวร์ที่บ้านผมก็มีเข็มขัดนิรภัยมันกดทีเดียวก็ออก แต่เข็มขัดตัวนี้มันไม่มีที่กด แล้วผมจะทำอย่างไรล่ะเนี่ย คลำหาตั้งนาน คลำแล้วคลำอีก โธ่เอ้ย (ห้องน้ำ) สวรรค์อยู่ตรงหน้า ดันเอื้อมไม่ถึง ที่ไหนได้คลำไปคลำมาถึงได้รู้ว่าเขาไม่กดแต่ใช้วิธีการดึง มิน่าล่ะมันถึงไม่ออก เฮ้อ...คุณภูมิเอ้ย ก่อนฉลาดก็ต้องโง่ก่อนสินะ
เครื่องบินไต่ระดับลงไปเรื่อยๆ คงใกล้จะถึงแล้วล่ะครับ ผมชะเง้อดูหน้าต่างเพื่อจะดูแสงไฟตามบ้านเรือน กัปตันประกาศอีก 10 นาทีเครื่องจะเตะรันเวย์ ใจเต้นสิครับ แต่เอะ......ไฟข้างล่างมีเป็นหย่อมๆ ไม่เหมือนตอนขึ้นจากกรุงเทพฯที่สว่างไปหมด แต่ที่นี่แสงไฟมีเป็นระยะๆ ซึ่งทำให้ผมคิดว่าบ้านเรือนของพวกเขาคงจะมีไม่มากนัก
เครื่องร่อนลง แอร์คนสวยวิ่งมาบอกพวกเราว่าอย่าลืมรัดเข็มขัดนิรภัยนะแล้วก็วิ่งกลับไปนั่งที่ เครื่องแตะพื้นรันเวย์ ผมเริ่มเห็นแสงไฟแล้วเป็นไฟของสนามบิน เราเดินลงเครื่อง ดูแปลกตาดีครับ ก็ต่างประเทศแล้วนี่ครับ พอลงจากเครื่องคนที่เจอสีผิวก็เปลี่ยนไป การแต่งกายก็เปลี่ยนไป
เดินมารอกระเป๋าของอาจารย์แซนดร้าและอาจารย์ปีเตอร์เรายืนรอกระเป๋าเป็นชั่วโมง ผู้หญิงชาวเกาหลีคนหนึ่งเธอเองก็ยืนรอกระเป๋า เธอเริ่มโมโห และเข้ามาถามผมเป็นภาษาเกาหลี(พร้อมกับใส่อารมณ์) ถ้าให้ผมแปลเธอคงจะบอกว่า “อะไรกัน รอตั้งนานแล้วยังไม่มาอีก กระเป๋าคุณมาหรือยัง ว้า....แย่จริงๆเลย” อะไรประมาณนี้น่ะครับ อาจารย์ปีเตอร์เริ่มทำหน้าเซง คิ้วชนกัน พี่แพทที่เป็นภรรยาของอาจารย์ปีเตอร์ยืนนิ่งๆ ซึ่งผมแอบคิดว่าพี่แพทคงหลับไปแล้ว ตอนนี้เวลาที่ศรีลังกาเป็นเวลา ประมาณตี 2 เวลาที่นี่จะช้ากว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง 30 นาที
กระเป๋ามาแล้ว เรารีบวิ่งเข้าหาด้วยความดีใจ รีบแบกกระเป๋าไปพบคนที่เขามารับเรา เราเดินผ่านช่องทางออก ถ้าดูเผินๆเหมือนประตูโกดังหรือที่เก็บของ ในสนามบินยังพอมีคนหน้าตาคล้ายคนไทยอยู่บ้างแต่เมื่อออกมานอกสนามบินแต่ละคนดูแปลกตาไปเลย
ตอนนี้ผมเป็นชาวต่างชาติแล้ว คนที่มารับเราเขาเข้ามาทักทายพร้อมกับภาษาอังกฤษที่แปลกๆ Helloเปลี่ยนเป็น Hundo เรียกมะพร้าว Coconut เป็น Kokkoknout มันลำบากมากสำหรับผมผู้ที่เก่งกล้าในภาษาอังกฤษ จะทำความเข้าใจมันได้ what’s your name? พวกเขาถามผมว่า “วอค โย แหนม” เราก็นึกว่าอยากกินแหนมเสียอีก เลยมาถามว่าเราเอาแหนมมาไหม (ล้อเล่นนะครับ)
เราขึ้นรถตู้เพื่อที่จะไปเข้าพักที่โยแรม เราเหนื่อยกันมาก คนขับรถขับพาเราออกมา เราหวังว่าจะถึงที่พักเร็วๆ จากสนามบินโคลัมโบ ประมาณ 50 กม. แต่คนขับพาเราชมวิว ขับไม่เกิน 60 กม./ชม. เรามองหน้าเหมือนรู้กันว่าอยากเปลี่ยนไปขับแทน เราใช้เวลาบนรถนานพอสมควรมาถึงที่พักเวลาตี 4 กว่าเวลาในไทย
ที่พักที่จัดให้สวยมากครับ ชื่อว่า Club Boom Bal สวรรค์อยู่ใกล้แล้ว ใกล้ถึงเตียงนอนเสียที ผมได้ห้องเบอร์ 144 ที่นี่เป็นรีสอร์ทที่ต้องเดินไปที่ห้องพักเองเราเองก็นึกว่ามันจะไม่ไกลนัก ผมต้องเดินอีกกว่าครึ่งกิโล แซนดร้าเหนื่อยมากเธอไม่รอใคร ได้กระเป๋าลากไปที่ห้องทันที กระเป๋ากระเด็นกระดอนตามหลังเธอไป ผมเห็นแล้วก็อด ขำไม่ได้
ถึงแล้ว ...เตียงนอน ผมกะจะกระโดดใส่แต่ก็ต้องชะงักเพราะเตียงถูกจัดไว้อย่างสวยงาม ไม่อยากนอนมันเลย ผ้าปูที่นอนก็จับจีบดอกไม้แล้ววางดอกลีลาวดีไว้พร้อมใบหญ้าที่ทำความสะอาดแล้วมาวางเรียงเป็นตัวอักษรว่า welcome บนหมอนแต่ละใบมีดอกกุหลาบใบละดอกและเปิดเพลงคลาสสิคด้วย
นี่ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าเจ้าสาวของผมอยู่ไหน(เหมือนห้องหอ) วันนี้ผมเหนื่อย พระเจ้าครับ ผมหลับล่ะนะครับ น้ำผมก็ไม่อาบ พระเจ้าชำระใจผมให้สะอาดได้ วันนี้ช่วยชำระกายผมให้สะอาดด้วยนะครับ

ไม่มีความคิดเห็น: