วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2550

ศรีลังกาตอนที่ 3

February 7, 2007
ตื่นตอน 8 โมงเช้า เวลาในประเทศไทย และเป็นเวลา 6.30 น. เวลาในประเทศ
ศรีลังกา ผมเพิ่งนอนตอนตี 4 นี้เอง ต้องตื่นเสียแล้ว เอาน่า..คิดว่าตื่นมาดูบรรยากาศยามเช้า ผมเปิดหลังห้องและชะโงกหน้าออกไปพบว่าหลังห้องเป็นทะเลสาปหลังห้องขนาดย่อมๆ มองผ่านทะเลสาปออกไปก็เป็นทะเลกว้าง สวยงามมากทีเดียว พระเจ้าครับผมฝันไปหรือเปล่า ขยี้ตา 2-3 ครั้ง ถึงรู้ว่าเรื่องจริงน่ะสิ ไม่ใช่พระองค์ผมไม่ได้มานะนี้แย่เลย ผมขอบคุณสำหรับคนที่มีส่วนทุกคนนะครับ
ผมกลับมาหยิบพระคัมภีร์หาเก้าอี้นั่งอ่านอย่างตั้งใจ อันนี้จะตรัสอะไรกับผม ผมเริ่มอธิษฐานเผื่อทุกคนที่ประเทศไทย ผมสัญญากับพระเจ้าว่า ผมจะมองพวกเขาอย่างที่พระองค์มองพวกเขาและที่พระองค์ต้องการ
ถึงเวลาอาหารเช้าแล้ว ผมเดินไปที่ห้องอาหาร ดูสิว่ามีอะไรกินบ้าง โอ...เสต็กเนื้อวัว เค้ก แกงเนื้อ แกงเนื้อที่น่ากลิ่นเครื่องเทศฉุนน่าดูเลยครับ ผมทดลองกินทุกอย่างเลย ผมมองรอบข้างผมคงเป็นคนไทยคนเดียวที่โรงแรมนี้แน่เลย ทุกคนเป็นฝรั่งหมด รู้ไหมครับว่าที่นี่ราคาแพงมากเลย ผมถือว่าแพงจริงเพราะว่าคืนละ 2,700 บาท (โอ้โห....มิน่าล่ะมันสวยจัง)
ถึงเวลาเดินทางไปค่ายแล้วครับ มีคนมารับเราไปค่ายตื่นเต้นครับที่จะได้เจอพี่น้องคริสเตียนที่นี่ ผมหวังว่าจะมีห้องประชุมดีๆ สถานที่สวยเหมือนกับที่พัก พอเดินทางเดินทางไปถึง ถึงกับแปลกใจครับไม่มีห้องประชุม
พวกเขากางเต้นท์หลังใหญ่กลางสวนมะพร้าว มีคนประมาณ 200 คนอยู่ในเต้นท์นั้น เรามาถึงที่นี่เขากำลังร้องเพลงนมัสาร เพลงที่นี่ถ้าหากว่าใครเคยฟังเพลงอินเดียอย่างไร ที่นี่ก็คล้ายอย่างนั้นแหละครับ
ในค่ายมีกลุ่มคนมาจากสองแห่ง คนละภาษา เวลาเทศนาต้องแปลถึงสองคน จากภาษาอังกฤษต้องแปลเป็นภาษาศรีลังกาอีก 2 ภาษา คือภาษาลิงโกล่า และโทโมจิ ภาษาของพวกเขามีคำมาก ในการแปลแต่ละครั้งนานมากจนคนเทศนา เกือบหลับไปเลย หลังจากที่นมัสการ อ.ปีเตอร์เทศนา อากาศที่นี่ร้อนมากๆๆ ยิ่งนั่งในเต้นท์ด้วยแล้ว (ปวดหัวและเหงื่อโชกตัว) มองดูอ. ปีเตอร์ที่กำลังเทศนา เหมือนคนวิ่งมาแล้วสัก 3 กม. หลังจากเทศนาเสร็จเหมือนนักกีฬาว่ายน้ำที่เพิ่งขึ้นจากสระเลยทีเดียว
มีการหยุดพัก 30 นาที แล้วเข้ามาร้องเพลง 2-3 เพลง ก็ฟังเทศนาต่อ ตารางค่ายนี้แปลกมากครับ
แปลกยังไงน่ะหรอ วันแรกเราเริ่มต้นค่ายตอน 10.00 น. (11.30 น. ที่ประเทศไทย) พักอาหารกลางวันปกติคือตอน 12.00-13.00 น. แต่แปลกที่หลังจากนั้นจะพักเวลา 16.00 น. และเริ่มนมัสการอีกครั้งตอน 16.00-21.15 น. และเป็นอาหารเย็นครับ หิวมากๆ (22.45 น. ที่ประเทศไทย) นี่คือตารางวันแรก

ศรีลังกาตอนที่ 2

นั่นไงครับ มาแล้ว....อาจารย์ปีเตอร์และอาจารย์แซนดร้า ผมนั่งรอตั้งนาน นึกว่าจะไม่ไปกันเสียแล้ว เมื่อตรวจพาสปอร์ท เสร็จแล้วก็เข้าประตูผู้โดยสารขาออกเพื่อไปขึ้นเครื่อง สนามบินนี่กว้างมากเราก็เดิน เดิน เดิน จนอาจารย์ปีเตอร์พูดขึ้นมาว่า “สงสัยเราจะเดินถึงศรีลังกาแน่เลย” เพราะมันไกลมากกว่าจะเดินไปถึงประตูเข้าทางขึ้นเครื่อง เล่นเอาผมหอบแฮ่กเลยทีเดียว
ขึ้นเครื่องได้เสียทีนะครับ และก็ต้องขอชมแอร์ฯของ
ทางสายการบินนี้นะครับว่าสวยจริงๆ (ชื่นชมในฝีพระหัตถ์ของ
พระเจ้านะครับ ) แหม..ภาษาอังกฤษผมก็แข็งแรงเหลือเกิน
แอร์ฯคนไทยสักคนก็ไม่มี มีก็แต่คนจีนกับคนญี่ปุ่น เมื่อขึ้นมา
บนเครื่องบินแล้วก็ต้องทึ่งกับความกว้างขวางของตัวเครื่องบิน
ที่เคยนั่งนั้นเป็นเพียงแถวที่นั่งสองแถวและทางเดินแคบกว่านี้
แต่เครื่องนี้มีที่นั่งถึงสามแถว แถวละสามที่นั่งแต่ละที่นั่งมี
โทรทัศน์ส่วนตัวด้วย แต่ผมไม่ดูหรอกนะครับโทรทัศน์น่ะ แต่ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบนะครับหากแต่เป็นเพราะว่าผมเปิดไม่เป็นต่างหาก......ว่าแต่มันเปิดยังไงน้า........ถ้าจะถามคนข้างๆก็กลัวว่าจะเสียหน้าและอีกอย่างภาษาที่เขาใช้ในการแนะนำการใช้งานก็ไม่มีเป็นภาษาไทยนะครับ เวลาเขาเดินมาบริการน้ำ พอผมดื่มเสร็จก็ถือไว้และตาก็มองหาที่วางแก้วซึ่งไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหน “อยู่ไหนหว่า” หาอย่างไรก็หาไม่เจอ คลำแล้วก็คลำอีกจนคนข้างๆผมเค้าคงจะนึกรำคาญ เขาเลยทำท่าเปิดของเขาให้ผมดู และมองหน้าผม นี่ผมรู้นะเขาคงจะนึกเยาะเย้ยผมอยู่ในใจ “อะไรกัน ไม่เคยขึ้นเครื่องหรือยังไงนะ” นั่นสิก็ไม่เคยขึ้นน่ะสิครับ โธ่...ถ้าผมเคยขึ้นเครื่องแล้วจะมาทำเปิ่นแถวนี้ทำไมละครับ (ตอบในใจน่ะครับ)
ตอนนี้ผมนั่งบนเครื่องบิน อีกไม่นานก็คงถึงนะครับ ผมนั่งได้สักพักก็เอาสมุดบันทึกขึ้นมาเขียน คนข้างๆผมคงเห็นว่าผมเขียนอะไรอยู่ เขาหยิบ Lab top ของเขาขึ้นมาบ้างและมองหน้าผมเหมือนกับว่าของฉันแน่กว่า.....อืม..นี่ผมคิดเอาเองอีกแล้ว ซึ่งความจริงเขาก็อยู่ส่วนของเขาผมอยากหาเรื่องเขียนก็เลยเอาเขามาเกี่ยวน่ะครับ
มาแล้วครับอาหารบนเครื่องบิน แอร์คนสวยเดินมาบริการพร้อมกับพูดอะไรก็ไม่ทราบ ก็เลยตอบไปว่าYes. ลูกเดียว ก็เลยได้ห่อหมกกับข้าวสวย เฮ้อ...ขึ้นเครื่องบินทั้งทีดันได้ข้าวห่อหมกมาทาน แต่ก็อร่อยดีนะ อาจารย์ปีเตอร์ก็นั่งไกลเสียด้วย ไม่อย่างนั้นคงได้กินสเต็กแล้วล่ะครับ เพราะ Yes. ตัวเดียวเชียว.....ถึงได้กินห่อหมก
สักพักหนึ่ง แอร์คนสวยก็เดินเข้ามาอีกรอบพร้อมขวดไวร์ 2 ขวด พร้อมกับถามผมว่า ต้องการดื่มไวร์ไหม (คำถามนี้ผมพอเข้าใจ) เอ...เอายังไงดีนะ คิดในใจอีกแล้ว จะตอบว่า Yes. อาจารย์แซนดร้าก็มองผมอยู่จำเป็นต้องตอบว่า Oh…No, Thank you พร้อมกับกลืนน้ำลาย (อยากลองสักครั้งว่าอร่อยหรือเปล่า) ส่วนคนข้างๆผมดื่มเข้าไปตั้งสามแก้ว มองดูตาเยิ้มๆ แหม...ทำท่าเลียปากด้วยสิพร้อมกับหันมาทางผมเหมือนทำท่าเชิญชวนว่าเอามะ..... ตอนนี้ผมอิ่มแล้วสิครับ แต่ปัญหาก็คือผมอยากเข้าห้องน้ำด้วย มองหาห้องน้ำบนเครื่องบินนี่มันยากจริง แอร์ก็ไม่มาเก็บจานอาหารเสียทีผมจะได้ลุกไปเข้าห้องน้ำ
มาอีกแล้วครับน้ำชา เสิร์ฟกันเข้าไป กินสิครับจะได้รู้ว่าชาบนเครื่องอร่อยหรือเปล่า ตามมาด้วยกาแฟ ก็ดื่มเข้าไปอีกทดลองดูว่ามันอร่อยหรือเปล่า และแอร์คนสวยก็มาเก็บอาหาร จะได้ไปเข้าห้องน้ำเสียที แต่มันไม่ง่ายอย่างนั้นน่ะสิครับท่านผู้อ่าน มันเกิดปัญหาใหญ่กับผมแล้วครับ ไอ้รถทัวร์ที่บ้านผมก็มีเข็มขัดนิรภัยมันกดทีเดียวก็ออก แต่เข็มขัดตัวนี้มันไม่มีที่กด แล้วผมจะทำอย่างไรล่ะเนี่ย คลำหาตั้งนาน คลำแล้วคลำอีก โธ่เอ้ย (ห้องน้ำ) สวรรค์อยู่ตรงหน้า ดันเอื้อมไม่ถึง ที่ไหนได้คลำไปคลำมาถึงได้รู้ว่าเขาไม่กดแต่ใช้วิธีการดึง มิน่าล่ะมันถึงไม่ออก เฮ้อ...คุณภูมิเอ้ย ก่อนฉลาดก็ต้องโง่ก่อนสินะ
เครื่องบินไต่ระดับลงไปเรื่อยๆ คงใกล้จะถึงแล้วล่ะครับ ผมชะเง้อดูหน้าต่างเพื่อจะดูแสงไฟตามบ้านเรือน กัปตันประกาศอีก 10 นาทีเครื่องจะเตะรันเวย์ ใจเต้นสิครับ แต่เอะ......ไฟข้างล่างมีเป็นหย่อมๆ ไม่เหมือนตอนขึ้นจากกรุงเทพฯที่สว่างไปหมด แต่ที่นี่แสงไฟมีเป็นระยะๆ ซึ่งทำให้ผมคิดว่าบ้านเรือนของพวกเขาคงจะมีไม่มากนัก
เครื่องร่อนลง แอร์คนสวยวิ่งมาบอกพวกเราว่าอย่าลืมรัดเข็มขัดนิรภัยนะแล้วก็วิ่งกลับไปนั่งที่ เครื่องแตะพื้นรันเวย์ ผมเริ่มเห็นแสงไฟแล้วเป็นไฟของสนามบิน เราเดินลงเครื่อง ดูแปลกตาดีครับ ก็ต่างประเทศแล้วนี่ครับ พอลงจากเครื่องคนที่เจอสีผิวก็เปลี่ยนไป การแต่งกายก็เปลี่ยนไป
เดินมารอกระเป๋าของอาจารย์แซนดร้าและอาจารย์ปีเตอร์เรายืนรอกระเป๋าเป็นชั่วโมง ผู้หญิงชาวเกาหลีคนหนึ่งเธอเองก็ยืนรอกระเป๋า เธอเริ่มโมโห และเข้ามาถามผมเป็นภาษาเกาหลี(พร้อมกับใส่อารมณ์) ถ้าให้ผมแปลเธอคงจะบอกว่า “อะไรกัน รอตั้งนานแล้วยังไม่มาอีก กระเป๋าคุณมาหรือยัง ว้า....แย่จริงๆเลย” อะไรประมาณนี้น่ะครับ อาจารย์ปีเตอร์เริ่มทำหน้าเซง คิ้วชนกัน พี่แพทที่เป็นภรรยาของอาจารย์ปีเตอร์ยืนนิ่งๆ ซึ่งผมแอบคิดว่าพี่แพทคงหลับไปแล้ว ตอนนี้เวลาที่ศรีลังกาเป็นเวลา ประมาณตี 2 เวลาที่นี่จะช้ากว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง 30 นาที
กระเป๋ามาแล้ว เรารีบวิ่งเข้าหาด้วยความดีใจ รีบแบกกระเป๋าไปพบคนที่เขามารับเรา เราเดินผ่านช่องทางออก ถ้าดูเผินๆเหมือนประตูโกดังหรือที่เก็บของ ในสนามบินยังพอมีคนหน้าตาคล้ายคนไทยอยู่บ้างแต่เมื่อออกมานอกสนามบินแต่ละคนดูแปลกตาไปเลย
ตอนนี้ผมเป็นชาวต่างชาติแล้ว คนที่มารับเราเขาเข้ามาทักทายพร้อมกับภาษาอังกฤษที่แปลกๆ Helloเปลี่ยนเป็น Hundo เรียกมะพร้าว Coconut เป็น Kokkoknout มันลำบากมากสำหรับผมผู้ที่เก่งกล้าในภาษาอังกฤษ จะทำความเข้าใจมันได้ what’s your name? พวกเขาถามผมว่า “วอค โย แหนม” เราก็นึกว่าอยากกินแหนมเสียอีก เลยมาถามว่าเราเอาแหนมมาไหม (ล้อเล่นนะครับ)
เราขึ้นรถตู้เพื่อที่จะไปเข้าพักที่โยแรม เราเหนื่อยกันมาก คนขับรถขับพาเราออกมา เราหวังว่าจะถึงที่พักเร็วๆ จากสนามบินโคลัมโบ ประมาณ 50 กม. แต่คนขับพาเราชมวิว ขับไม่เกิน 60 กม./ชม. เรามองหน้าเหมือนรู้กันว่าอยากเปลี่ยนไปขับแทน เราใช้เวลาบนรถนานพอสมควรมาถึงที่พักเวลาตี 4 กว่าเวลาในไทย
ที่พักที่จัดให้สวยมากครับ ชื่อว่า Club Boom Bal สวรรค์อยู่ใกล้แล้ว ใกล้ถึงเตียงนอนเสียที ผมได้ห้องเบอร์ 144 ที่นี่เป็นรีสอร์ทที่ต้องเดินไปที่ห้องพักเองเราเองก็นึกว่ามันจะไม่ไกลนัก ผมต้องเดินอีกกว่าครึ่งกิโล แซนดร้าเหนื่อยมากเธอไม่รอใคร ได้กระเป๋าลากไปที่ห้องทันที กระเป๋ากระเด็นกระดอนตามหลังเธอไป ผมเห็นแล้วก็อด ขำไม่ได้
ถึงแล้ว ...เตียงนอน ผมกะจะกระโดดใส่แต่ก็ต้องชะงักเพราะเตียงถูกจัดไว้อย่างสวยงาม ไม่อยากนอนมันเลย ผ้าปูที่นอนก็จับจีบดอกไม้แล้ววางดอกลีลาวดีไว้พร้อมใบหญ้าที่ทำความสะอาดแล้วมาวางเรียงเป็นตัวอักษรว่า welcome บนหมอนแต่ละใบมีดอกกุหลาบใบละดอกและเปิดเพลงคลาสสิคด้วย
นี่ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าเจ้าสาวของผมอยู่ไหน(เหมือนห้องหอ) วันนี้ผมเหนื่อย พระเจ้าครับ ผมหลับล่ะนะครับ น้ำผมก็ไม่อาบ พระเจ้าชำระใจผมให้สะอาดได้ วันนี้ช่วยชำระกายผมให้สะอาดด้วยนะครับ

เรื่องเล่าจากศรีลังกา ตอนที่1

เริ่มต้นเดินทาง
คุณเคยแปลกใจไหม ถ้ามีคนรอบข้างต่างสนใจ และให้ความสนใจตัวคุณว่า กำลังทำอะไร คุณจะไปไหน วันนี้ผมรู้ว่าคนรอบข้างก็สนใจและห่วงใยผม วันทั้งวันมีแต่คำอวยพร และการสอบถามว่า
“วันนี้เดินทางกี่โมง พระเจ้าอวยพรนะ”
“ค่าใช้จ่ายพอไหม มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า”
“ขอให้เป็นพรนะ เราจะอธิษฐานเผื่อ”
มันช่างเป็นสิ่งที่น่าประทับใจจริงนะครับ ที่มีคนเป็นห่วงและเห็นคุณค่า ความจริงถ้าไม่มีพระเจ้าผมคงไม่มีวันที่จะก้าวเข้ามา ณ จุดนี้ได้หรอกครับ พระเจ้าของผมดีจริงๆครับ หลายคนเป็นห่วงสุขภาพของผม หายาสามัญต่างๆ แพ็คใส่กล่องให้ผม เพื่อนบางคนกลัวผมกินอาหารบ้านเขาไม่ได้ เตรียมน้ำพริกตาแดง น้ำพริกนรกไว้ให้ด้วย (ผมจะเอาไปให้คนที่โน่นทานนะครับ)
ครั้งแรกที่ผมเดินทางใกล้ขนาดนี้ผมคงนั่งรถราว 4-5 ชม. บางคนอาจจะบอกว่าผมเคยเดินทางไกลหว่านี้อีก ไม่ต้องตื่นเต้นแต่สำหรับผมครั้งแรกครับ ถึงสนามบินผมก็ชะเง้อดูว่า สุวรรณภูมิสวยอย่างโฆษณาหรือไม่
อือ....อลังการดีจริงๆครับ เหนือจรดใต้คนที่รู้จักผมก็จะโทรมาอวยพรการไปศรีลังกาของผม ประเทศซึ่งยังคงมีสงครามกลางเมืองกันอยู่ พวกเขาเหล่านั้นถามผมว่า “ถ้าตัวไม่ได้กลับ ให้เอาชื่อกลับมานะ” ผมบอกเขา “ผมต้องกลับมาทั้งตัวและชื่อของผมแน่นอน” เพราะหัวใจของผมคือประเทศไทย
ผมนั่งรอไปเรื่อยๆ ก็รู้อยู่ว่าผมไม่เคยมา จะให้เดินไป เดินมา เดี๋ยวก็หลงหรอก ผมขอนั่งเฉยๆดีกว่า จะเข้าห้องน้ำ ต้องขอชมว่าห้องน้ำเขาไฮเทคน่าดู ผมเดินเข้า ไปทำธุระ ตรงหน้าผมปรากฎเป็นจอโทรทัศน์ฉายโฆษณา สินค้า ร้านอาหารที่มีชื่อเสียง และชุดอาหารที่ชื่อว่า Tate Café น่าทานมากครับ (ที่นี่ดีนะ เข้าท่าดีที มาโฆษณาอาหาร ในห้องน้ำ) แต่เมื่อดูราคาแล้วก็ถึงกับกลั้นเสียง อือ.....เอาไว้
ไม่อยู่จนคนข้างๆคงนึกสงสัยว่าคนนีเขาอือ..อะไรของเขาคนเดียวและก็รีบหันหลังให้ผมทันที และอีกอย่างนะครับ ห้องน้ำนี้มีรูปผู้หญิงสวยๆ มาอยู่ตรงหน้าแล้วก็ทำท่าแอบดูเราที่กำลังทำธุระอยู่ โธ่..ใครจะกล้าครับ ถึงจะเป็นแค่รูปก็เถอะ

วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2550

ศรีลังกาตอนที่ 4

February 8, 2007

วันที่สองเริ่มต้นที่ 9.00 -11.30 น. และหยุดพัก 30 นาที และเริ่มนมัสการอีกรอบจนถึงเวลา 11.30- 13.30 น. อาหารกลางวันเวลา 13.30 -14.30 น. และอาหารเย็นตอน 3 ทุ่มครึ่ง ถ้าคนไทยทำอย่างนี้บ้างคงบ่นกันน่าดูเลยนะครับ
ผมเข้าใจพระคัมภีร์ตอนที่เปาโลเทศนาแล้วมีคนตกตึกดีมากขึ้น เพราะวันนี้อ.ปีเตอร์เทศนา ด้วยการออกรสออกชาติ ลีลาที่ท่านใครก็รู้ว่าแอ็คชั่นแปลกๆ ใหม่ๆ เสมอ(ใครอ่านก็อย่าไฟฟ้องเค้าล่ะกันนะครับ) ใครจะรู้ว่ามีเด็กคนหนึ่งนั่งแถวที่สอง..กำลังหลับ มันไม่ธรรมดาตรงที่ เด็กคนนี้โน้มตัวไปข้างหน้าเรื่อยๆผมเห็นแล้วละ แต่วันแรกก็ต้องนั่งสำรวมอยู่กับที่กันหน่อย
เด็กน้อยโน้มตัวไปข้างหน้าเรื่อยๆ จนฟุบขาตัวเองสักพักผมได้ยินเสียงตุ้บ....ทุกคนหันไปมอง เด็กน้อยคนนั้นหัวกระแทกกับพื้นดินเสียงดังสนั่นเลย ผมตกใจคิดว่าอ.ปีเตอร์ต้องหยุดเทศนา แล้วมาอธิษฐานเผื่อเด็กให้พื้นเหมือนเปาโลกระมัง แต่ขอบคุณพระเจ้าเด็กรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา มองซ้ายมองขวาเหมือนจะถามว่ามีอะไรเกิดขึ้นหรอ พร้อมกับเอามือลูบหัวตัวเองและคงคิดว่าทำไมหัวฉันถึงเจ็บจัง........ดีนะครับที่พื้นตรงนั้นไม่มีหิน ไม่อย่างนั้นหัวต้องแตกแน่ๆ
วันนี้ผมไม่ทราบว่าผมเป็นตัวประหลาดหรือเป็นของแปลก ทุกคนที่นั้นต่างเข้ามาทักทายผมกันมากมาย มาจับมือ ถามชื่อ โดยมีประโยคที่ผมถูกถามมากที่สุดคือ Do you have a girlfriend ? ผมไม่อยากตอบเลย เพราะมีคนบอกว่า ถ้ามีใครถามว่ามีแฟนหรือยัง ถ้าตอบว่ามีแล้วเราจะไม่เป็นที่สนใจอีก ต้องตอบพวกเขาไปว่ายังไม่มีแฟน ผมคิดจะตอบไปว่ายังไม่มีแฟนก้อกลัวจะโดนฉุด (ล้อเล่นนะครับ) เลยได้แต่ยิ้มๆ
ผมเดินไปที่ไหน พวกเขาจะเรียกชื่อผม ถูกบ้างไม่ค่อยจะถูกบ้าง บางคนเรียก ภูมิบ้าง พุ่มบ้าง หรือ ปูมก็มี หนักหนักเข้าก็เรียก..บึ๋ม ก็มี ทุกคนคงอยากทักทายผม นอกจาก อาจารย์Peter Sandra พี่แพท แล้วผมเป็นคนที่ขาวที่สุด
ทุกคนที่นี่น่ารัก เป็นกันเอง ผมมีเพื่อนเยอะมากภายในวันเดียว พวกเขาเตรียมอาหารให้พวกเราเป็นพิเศษมาก ที่โต๊ะจะเขียนคำว่า ชาวต่างชาติ (Foreigner) ที่ผมเลยเป็นชาวต่างชาติ วันนี้พี่แพท แบ่งปันบอกว่า ตอนที่เข้ามาเมืองไทยครั้งแรกไม่ชอบที่คนไทยเรียกว่า ฝรั่ง พวกเขาเลยเรียกผมว่า ฝรั่งด้วย ผมเดินไปที่ไหนเพื่อนๆที่นั้นก็รียกผมว่า ภูมิฝรั่ง ผมก็อยากอธิบายเหมือนกันว่าคำว่า ฝรั่ง ใช้กับคนผิวขาว ผมสีทอง เท่านั้น แต่ก็ตัดสินใจไม่พูดเพราะลำบากในการสื่อสาร ช่างเขาเถอะ
คุณรู้ไหมว่าที่นี่เวลาเทศนาต้องใช้ล่ามถึง 2 คน เพราะมีสอน 2 ภาษา แต่วันที่ผมแบ่งปันใช้ล่ามถึง 3 คน จากผม อาจารย์ปีเตอร์แปล และจากอาจารย์ปีเตอร์ก็มีอีก 2 คน กว่าจะเวียนมาอีกรอบก็เกือบหลับไปแล้ว หลังจากผมแบ่งปันเสร็จ(ในกลุ่มอนุชน) มีอนุชนคนหนึ่งเขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้แต่เขาอยากคุยกับผม เขาพยายามดึงผมออกจากกลุ่มเพื่อจะคุยด้วย แต่คนที่นี่รู้สึกว่าผมไปไหนเขาจะตามไป แล้วก็ตามมาอีก เขาก็ดึงแขนผมออกไปอีก คนอื่นก็ตามมาคุย เขาคุยกับผมพอจับใจความภาษาอังกฤษที่กระท่อนกระแท่นของเขา(เหมือนผม) ได้ว่า
“ ชิวิตของเขาเป็นเหมือนผมเลยเขาอยากให้ผมอธิษฐานเพื่อเขา” และผมก็เริ่มอธิษฐานเพื่อเขา ผมถามเขาว่ามีที่อยู่หรืออีเมล์ที่จะให้ผม เขาส่ายหน้า (แล้วจะติดต่อได้ยังไงเนี่ย) ผมถามว่า ต้องการคุยกับผมให้ชัดเจนกว่านี้ไหม ผมจะถามคนที่พอจะสื่อสารได้มาแปลให้ เขาส่ายหน้า (คนนี่นี้ยังไง) เอาแต่ส่ายหน้าไม่เอาอะไรสักอย่าง แล้วจะเรียกผมมาคุยทำไม ผมเริ่มฉุนแล้วนะ
เออ...ผมเพิ่งรู้มาว่า การที่เขาส่ายหน้าหมายถึง O.K. .อ้าวเหรอ...คนทที่นี่เวลาที่เขาเห็นด้วยเขาจะส่ายหน้า.. อืม..แปลกดีนะ
คนที่นี่ส่วนมากจะพูดภาษาอังกฤษได้ดี ผมเดินชายทะเลตอนเช้าไปดูชาวประมงกำลังจับปลา เขาสามารถพูดภาษอังกฤษได้ดีทีเดียว ปลาที่น่าสนใจที่นี่มีปลาแปลกที่ผมไม่เคยเห็นมากที่เดียว มีปลาชนิดหนึ่งตัวยาวมาก ผมมองดูคล้ายกับรูปในเมืองไทย ที่ทหารอเมริกันจับปลาตัวใหญ่มาก พวกเขาบอกว่าเป็นพญานาค ปลาชนิดนี้คล้ายกันเพียงแต่ตัวเล็กกว่า และมีฟันที่แหลมคม

วันพุธที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2550

ศรีลังกาตอนที่ 5

February 9, 2007

วันนี้ผมใส่เสื้อสีเหลืองตราสัญลักษณ์พระมหากษัตริย์ เพื่ออวดทุกคนที่ค่าย ผมต้องแบ่งปันในช่วงที่ 2 กับกลุ่มสตรี ผมพูดถึงประเทศไทยและพระมหากษัตริย์ ของไทย ทุกคนตั้งใจฟังมากเหมือนจะถามว่ามีคนแบบนี้อยู่ด้วยเหรอ เมื่อผมแบ่งปันจบ พี่แพท (วันนี้เป็นล่ามให้ผม) กับแซนดราเข้ามากอดและพูดว่า “ ภูมิดีใจ ที่ได้รู้จักภูมิ ” ไม่ได้โม้นะพูดจริงๆ
ความจริงแล้วนั้นเป็นมาจากพระเจ้าคนในค่ายพากันลุกมาขอจับมือ เอ๊ะ..มีอะไรเกิดขึ้น ผมพูดธรรมดามากเลยนะ แต่คนที่นี่หิวกระหายพระคำพระเจ้าครับ
อยากเห็นคนไทยหิวกระหายพระคำพระเจ้าอย่างนี้จริง ผมเคยได้ยินว่าพวกเขานั่งฟังเทศนาไม่ยอมลุกไปกินข้าวจาก 10.00 น. ถึง 14.00 น. แต่คุณรู้ไหมคนที่นี่นั่งฟังเทศนาตั้งแต่ 9.00 – 16.00 น. จนแม้แต่อาจารย์ปีเตอร์ผู้เทศนายังยอมแพ้ เทศนาวันละ 4 ครั้ง 3วันรวด
วันนี่เป็นอีกวันหนึ่งที่ผมเข้าใจว่า มาครั้งต่อไปต้องเตรียมนามบัตรมาด้วย เพราะว่าผมเขียนที่อยู่ละอีเมลล์จนมือหงิก ผมไม่รู้ว่าหลังจากกลับมาแล้วจะมีสักกี่คนที่ส่งอีเมล์มาถึงผม ถ้าผมจำไม่ผิดผมเขียนที่อยู่และอีเมล์มากกว่า 50 คน สาวสาวที่นี่คงชอบคนผิวขาวมั๊งครับ นี่ไม่ได้หลงตัวเองนะครับ แต่พวกเขาจะบอกให้เพื่อนผู้ชายพามาแนะนำตัวกับผมอย่างไม่ขาดสาย วางใจได้ครับผมชอบคนไทยมากกว่า
วันนี้พวกเขานมัสการพระเจ้าแบบสุดๆ จริงๆ พระเจ้าทำงานในค่ายอย่างมากครับก่อนจะมีการนมัสการครั้งสุดท้าย พวกเขากล่าวขอบคุณทีมงานและให้ของขวัญ คุณรู้ไหมครับ ผมตกใจมาก เขาประกาศขอบคุณ 3 คนแรกคือ อาจารย์ปีเตอร์ พี่แพท แซนดร้า และคนที่ 4 พวกเขาบอกว่า พวกเราดีใจที่คุณมาที่นี่ “ขอบคุณภูมิ” เขาเรียกชื่อผม 3ครั้ง ภูมิ ภูมิ ภูมิ ที่ประชุมปรบมือเสียงดังเป่าปาก และโห่เรียกชื่อผม บางคนลุกขึ้นปรบมือ ผมอึ้งไปชั่วขณะ พวกเขาให้เกียรติผมมากครับ
พิธีกรเรียกชื่อผมอีกครั้ง ผมลุกขึ้นไปรับของขวัญพร้อมกับยกมือไหว้เพื่อแสดงความเป็นไทย Paster ที่นั่นน่ารักทุกคน เขาเป็นศิษยาภิบาลสมาชิก 500 คน 1000 คน ต่ำสุด 300 คน พวกเขาเป็นกันเองมากครับ เขาดูแลผมเป็นอย่างดี
รู้ไหมมีที่ไหนบ้าง ศิษยาภิบาลอาวุโสสมาชิกกว่า 1,000 คนมานำเกมส์ตอนตอนบ่ายกับกลุ่มสตรี เล่นเกมส์กับเด็กอนุชน ผมเห็นแล้วประทับใจครับ พวกเขาไม่มีฟอร์ม แต่พวกเขามีหัวใจที่น่ายกย่อง

คืนวันวันสุดท้ายหลังจากที่มอบของขวัญเสร็จ พวกเขามีการเต้นรำตามจังหวะที่คล้ายกับอินเดีย พอเริ่มเปิดฟลอร์เท่านั้นล่ะครับ มือซ้ายมือขวา(ดีนะครับที่ไม่จับคอเสื้อผม) ดึงแต่มือทั้งสองข้างไปเต้นกับพวกเขา ผมก็ต้องเต้นตามสิครับ เดี๋ยวจะน้อยหน้าคนไทยออกเสตปรำไทยให้ดูเลย พี่แพทคนแรกเลยครับเริ่มจีบมือรำไทยนำหน้าผม แหม....นึกว่าผมรำไทยไม่เป็นหรอ ว่าแล้วก็ออกอาการชักกระตุกตามจังหวะเพลงจากขอบกลุ่มผมถูกดึงเข้าไปในกลุ่มตรงกลางเลยครับ
หลังจากเสร็จการนมัสการ พวกเขาจะมีการแสดงต่อ อ.ปีเตอร์ และผมกับพี่แพท และแซนดรา ออกมาทานข้าวกันก่อน ตอนสามทุ่มกว่าแต่พวกเขายังไม่ได้ทานกัน ยังคงมีการแสดงต่อ และเมื่อแสดงละครเสร็จก็มีการอธิบายและหนุนใจ โอ....ไม่น่าเชื่อ เรียกตอบสนองละครอีก
นมัสการกันหลังละครเรื่องแรกอีกยาวทีเดียว พวกเราไม่ไหวแล้วครับเลยขอตัวกลับกันก่อน(ผมมารู้ทีหลังว่าวันนั้นเขาปิดค่ายกันตอน ตี 3)
ก่อนจะกลับผมเดินเข้าไปในที่ประชุมและโบกมือให้กับพวกเขา มีหลายคนที่วิ่งเข้ามาหาผมและกอดและเอาแก้มมาแเตะผม ตอนแรกผมตกใจหมดเลย เพิ่งมาเข้าใจว่านี่เป็นการแสดงความรักแบบศรีลังกา รถกำลังจะออกจากค่ายมีเด็กหลายคนวิ่งตามเรามาและโบกมือให้ ผมว่าผมเริ่มรักประเทศนี้ขึ้นมาแล้วสิครับ
ใจหายเหมือนกันนะครับที่กำลังจะจากพวกเขา แต่ผมก็คิดถึงประเทศไทยด้วยครับ คิดถึงอาหารไทยมาที่นี่หลายวัน ไม่ได้กินผักใบเขียวเลยครับกินแต่สลัดผลไม้และแครอท มันฝรั่ง ขนมปัง ไข่ ถั่ว ข้าวที่นี่ไม่เหมือนเรา เม็ดแข็งบางครั้งก็เป็นถั่ว แกงเนื้อที่นี่อร่อยมากครับถ้ามีข้าวสวยร้อนๆ ด้วยนะ แต่ยอมรับเสต็กที่นี่อร่อยครับ
คืนนี้ผมเหนื่อยมาก กลับถึงห้องมาเห็นเตียงมันสวยจนไม่อยากให้มันยับเลยจับจีบไว้สวยจนไม่อยากให้มันยับเลย มีดอกไม้วางเป็นจุด แต่ก็ต้องนอนล่ะนะ เพราะวันต่อไปผมได้ไปเที่ยวโคลัมโบ


February 10, 2007

วันนี้ผมตื่นสาย ออกไปเดินดูทะเลแล้วก็กลับมาเก็บของ เพราะตอน 11.00 น. (เวลาที่ศรีลังกา)เพื่อนจะมารับไปโคลัมโบ ที่น่าสังเกตครับ ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจดีเพราะว่าทุกมุมถนนจะมีรูปปั้นพระเยซูคริสต์อยู่ เป็นรูปปั้นทั้งขนาดใหญ่และเล็ก ที่นี่โบสถ์คาทอลิกเยอะมากครับ
เพื่อนมารับพาเราไปนั่งรอบเมือง แวะแต่ที่ท่องเที่ยวที่สำคัญและร้านช้อปปิ้งที่ราคาแพงๆ
คนที่นี่ขับรถน่ากลัวมากครับ ถ้าเป็นประเทศไทย บีบแตรหลายๆทีเขาถือว่าด่ากัน แต่ที่นี่เสียงแตรดังทั่วเมืองครับ มลภาวะทางเสียงน่าดูครับ อยากให้ทุกคนมาลองสัมผัสดู ผมเองไม่เคยชินอย่างนี้ บีบแตรทีก็หันที บางทีมาบีบแตรตรงข้างๆเรา ตกใจแทบแย่แนะ
ถึงเวลากลับบ้านแล้วครับ แล้วผมจะมาเยี่ยมใหม่นะครับ พระเจ้าอวยพรประเทศนี้นะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2550

ค่ายพัฒนาภาษาอังกฤษ




ค่ายพัฒนาภาษาอังกฤษ อมก๋อย

วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2550

National Youth Camp 2007:Xtreme

National Youth Camp 2007 : Xtreme คืออะไร?
ค่ายที่จัดขึ้นเพื่อท้าทายคริสเตียนวัยรุ่นไทยให้มีใจพร้อมรับการฟื้นฟูครั้งยิ่งใหญ่ที่กำลังจะมาถึงในประเทศของเรา ตามน้ำพระทัยและการเคลื่อนไหวของพระเจ้าโดยการเตรียมชีวิตให้บริสุทธิ์ ค้นหาและพัฒนาของประทาน เสริมสร้างซึ่งกันและกันเพื่อให้เกิดเครือข่ายความร่วมมือของอนุชนในระดับประเทศ
มีอะไรใน Xtreme?
คำเทศนาจากศิษยาภิบาลและผู้นำคริสเตียนกว่า 30 คนที่คลุกคลีอยู่กับพันธกิจอนุชน ทั้งภายในและต่างประเทศ เช่น YC Alberta จากประเทศแคนาดา Planet Shaker จากประเทศออสเตรเลีย SonicEdge จากประเทศสิงคโปร์ Jesus Revolution จากประเทศฟิลิปปินส์ Last Generation จากประเทศอินโดนีเซีย เป็นต้น
การอธิษฐาน
Workshopเสริมสร้างความรู้แบบสนุกๆ
การแสดง สุด Hip
การออกร้าน สุดเก๋
กิจกรรม และเกมมันส์ ๆ อีกเพียบ
งานนี้จัดเพื่อใคร?
เพื่อวัยรุ่น อนุชนทั่วประเทศไทย ที่มีอายุ 15-24 ปี
จะมีเมื่อไหร่?
16-19 ตุลาคม 2007
ที่ไหน?
ณ สีดารีสอร์ท จังหวัดนครนายก